แลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศ (Currency Exchange) โดยใช้บัตรเครดิตของธนาคารดังกล่าว
ในการแลกเงินตราต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินสกุลต่างประเทศ
เช่น เงินดอลล่าร์ (US dollar : USD), เงินยูโร (Euro : EUR), เงินปอนด์ (Pound : GBP) เป็นต้น
บริการแลกเงินตราต่างประเทศนี้ ยังสามารถนำบัตรเดบิต (Debit Card) มาใช้ในการแลกเงิน
ได้ด้วย ซึ่งนับว่าธนาคารได้ให้ความเท่าเทียมกันในการให้บริการนี้กับทั้งผู้ถือบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
ลองมาวิเคราะห์กันว่าในมุมของ "ลูกค้า" และ "ธนาคาร" จะได้สิ่งใดในบริการดังกล่าวกัน
ลูกค้า
- ได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น เพราะจะมีช่องทางในการให้บริการแลกเงินตราต่างประเทศที่มากขึ้น
- เมื่อใช้บัตรเครดิต จะได้ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยตามระยะเวลาของบัตรเครดิตนั้น ๆ (เช่น 45 วัน, 50 วัน)
- เมื่อใช้บัตรเครดิต สามารถเลือกผ่อนชำระได้ด้วย (3 เดือน, 6 เดือน, 10 เดือน) โดยมีดอกเบี้ยอยู่บ้าง
บัตรเครดิตนั่นเอง (Cash Advance) เพียงแต่จะดีกว่าการกดถอนเงินสดออกมาจากบัตรเครดิตตรง ๆ เพราะ
ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการกดเงินสด (Cash Advance Fee) 3% ของการกดแต่ละครั้ง และนอกจากนั้น
ยังมีช่วงระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยอีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากการกดเงินสดจากบัตรเครดิตปกติซึ่งจะเริ่มคิดดอกเบี้ย
ทันทีที่มีการกดเงิน (ไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยจากการทำ Cash Advance)
แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจ เพราะถ้าเราจะทำเช่นนั้นการถอนเงินสดเป็นเงินตราต่างประเทศนั้นแล้วเราต้องการที่จะ
แลกคืนเพื่อนำมาใช้จ่ายเป็นเงินบาท (Thai Baht : THB) จะมีส่วนต่างของการซื้อคืน (bank buying rate)
ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องน้อยกว่าตอนที่ธนาคารขายเงินให้กับเรา (bank selling rate) ก็ต้องลองมาคำนวณดู
ว่าดอกเบี้ยที่ไม่ต้องเสียในระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยกับส่วนต่างในการแลกคืนเป็นเงินบาทนั้น (exchange loss)
จะคุ้มค่ากันหรือไม่
ธนาคาร
- ได้ส่วนต่างในการขายเงินตราต่างประเทศให้กับลูกค้า (ได้ทันทีที่ซื้อ)
- เมื่อลูกค้านำเงินมาขายคืนกลับเป็นเงินบาท ในกรณีที่ลูกค้าอยากเบิกเงินจากบัตรเครดิตโดยใช้วิธีนี้ ธนาคารจะได้ส่วนต่างครั้งที่สอง ซึ่งถ้าคุณลองคำนวณเล่น ๆ จะพบว่ามากกว่า 3% ของการกดเบิกเงินสด
- หากลูกค้าเลือกวิธีผ่อนชำระธนาคารจะได้ดอกเบี้ยจากเงินที่ลูกค้าได้ถอนไป
แล้วผู้เขียนจะลองมาคำนวณส่วนต่างความคุ้มค่าของการนำเงินออกมาจากบัตรเครดิต
ในบทความหน้า แล้วพบกัน