Pages

Sunday, January 26, 2014

นิทานเวตาล เรื่องที่ 9 : การชุบชีวิตด้วยความผิดพลาดของนางมุกดาวลี

                เวตาลเล่าเรื่องซึ่งยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่งว่า

                กว้างแลไกลในประเทศอันงามซึ่งชนอารยะผู้มีถิ่นเดิมในแผ่นดินสูงทางตะวันตกสาดกันมาตั้งภูมิลำเนา เป็นปึกแผ่นอยู่นั้น เกียรติแห่งนาง มุกดาวลี บุตรพราหมณ์ หริทาส เลื่องลือทุกทิศ บัณฑิตแลกวีนับจำนวนร้อยพากันแต่งกาพย์กลอนสำแดงความรัก บ้างก็กล่าวว่านางอยู่ในที่ใด ที่นั้นย่อมสว่างเหมือนแสงฉายในเดือนมืด บ้างก็กล่าวสรรเสริญความงามแห่งนางแลแสดงทุกข์ที่เกิดเพราะความรัก

        O อ้าอนงค์ทรงศักดิ์ด้วย         ศรดอก ไม้แฮ
        จากแหล่งแผลงตรงตอก         อกข้า
        โปร่งปรุทลุเล่ห์หอก              ไล่หั่น


        O สาวสวรรค์ดั้นจากด้าว         แดนสวรรค์ ใดฤา
        อ่าเอี่ยมองค์เอวอัน                อ่อนชอ้อน
        เพ็ญพักตร์ลักษณ์ลาวัณย์        ราววาด
        โอ้อกสทกทุกข์สท้อน            ท่าวสท้านลาญหลง

        O เดียวดอมกรอมทุกข์กล้ำ     กรึงกมล หม่นแล
        กองระกำดำกล                    ก่นเศร้า
        เพลิงร้อนจะผ่อนปรน            พอปลด
        ร้อนราคเราเร่าร้อน                รุ่มร้อนรอนทรวงฯ

        O เปล่าเปลี่ยวเหี่ยวอกโอ้       โอ๋อก
        หนาวจิตคืออุทก                  สทกสท้อน
        คิดโฉมประโลมกก                กอดอุ่น
        กายแม่เย็นยามร้อน               อุ่นเนื้อยามหนาวฯ

        O ใคร่สมสมใคร่ได้               ทางใด แม่เอย
        เจ็บจิตอาจิณใจ                   จักขว้ำ
        โหยหวนอ่วนอกไอ               เป็นเลือด แล้วแม่
        แรงรักชักชอกช้ำ                  ใช่ช้าลาตายฯ

                   บ้างก็แต่งคำฉันท์ลำดับครุลหุ ซึ่งตนเห็นไปเองว่าไพเราะ กล่าวชมแลเชิญนางให้ยินยอมวิวาหะกับตน

        O อ้าอุไรพธู                               พบูพิบูลย์
        เฉลาแชล่มแจร่มจรูญ                   เจริญภาส
        O ตูสวิงสวายเพราะสายสวาท         รทวยบ่ปลด
        ระทดบ่ปราศ                             บ่ปลิดโศก
        O แสนจะเสียวจะสร้าน                 ณ วารวิโยค
        จะข้าม ณ ห้วงบ่ล่วง                    ณ โอฆก็อกกรม
        O ใคร่เสน่หะนิตย์                       สนิทสนม
        จะแนบจะนิทร์จะชิด                    จะชม ณ เชิงรัก
        O เชิญสมรสุมาลย์                       สมานสมัค   
        ประสานประสงค์ประจงประจักษ์      ประจวบใจฯ

                       บ้างก็กล่าวลบหลู่ตนเองด้วยความขุ่นแค้นที่ไม่สมหมาย แลกระเดียดไปข้างโลกจะแตกเพราะเหตุนั้น

        O โอ้อาตมะอกวิตกยิ่ง              เพราะวหญิงวยาภา
        ฉันใดจะได้สมรมา                  นิทระแนบพนอชม
        O ใคร่สมบ่สมหทยะใคร่           ก็ไฉนจะได้สม
        โหยหวยระทวยอุระระทม          ทุกข์แทบถล่มลง
        O ใจผูกจะปลูกปิยะมนัส           ทวิวัฒนาทรง
        แคล้วคลาดเพราะมาดมนทนง    นรต้อยจะสอยดาว
        O ต่ำชาติและปราศนรุปถัม        ภกช้ำอุรายาว
        แร้นทรัพยะยับยศ ณ คราว        ทุกขกว้างบ่บางเบา
        O แค้นใจบ่ใส่ชลกะโหลก         บ่ชโงกจะดูเงา
        น้ำหน้ากระลาศิรษเรา              ฤจะหมายตะกายสูง
        O คางคกผงกมุขเผยอ             จิตเห่อจะปีนยูง
        เป็นหมูจะคู่อศวจูง                  จรได้ไฉนนา
        O ตกทุกข์จะลุกสิก็ถลำ            ทุกข์ล้ำจะไตรตรา
        หลีกหล่มก็ล้มจะคมนา              คมเกลื่อนบ่เหมือนใจ
        O น้ำรักประจักษ์จิตบ่ขาด          กลบาศกระลึงไกร
        โซ่เหล็กก็ล่ามหทยะไทย           ดุจทาสบ่อาจจร
        O อ้าตูจะดูสกลภพ                  ก็สยบแสยงหยอน
        มืดมนก็จะด้นยนะซอน              ก็และเครื่องจะเคืองตา
        O ปราศหวังก็ดังสุรยะดับ           ระวีลับนิราภา
        คิด ๆ ระอิดอุระระอา                 อุรุโลกจะแหลกฤาฯ

                บ้างก็กล่าวลบหลู่พระจันทร์ว่า

        O เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
        กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
        อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา
        น้ำใจข้ามึนเมาทั้งขึ้นแรม
        ได้ยลพักตร์รักเหลือไม่เบื่อรัก
        อกจะหักเพราะอนงค์ศรทรงแหลม
        ให้แค้นคิดจิตเจ็บที่เหน็บแนม
        ไม่ยิ้มแย้มเยื้อนให้ชื่นใจเอยฯ

                บ้างก็กล่าวว่านางมีผิวเหมือนดอกจำปา มีผมเหมือนนางงู มีบาทเหมือนทับทิม (เพราะย้อม) มีตาเหมือนตาเนื้อตามเคย คิ้วเหมือนธนูก่ง ตามอย่างคิ้วที่นิยมว่างาม เดินเหมือนหงส์ ฯลฯ
                แลไม่มีใครลืมกล่าวว่านางมีสำเนียงไพเราะ เหมือนนกกาเหว่าแลทุกคนกล่าวว่าถ้านางอัจฉราลงมาเปรียบประชันความงาม นางอัจฉราจะได้อาย
                แต่บัณฑิตแลกวีนับจำนวนร้อยซึ่งประชันกันแต่งกาพย์กลอนสรรเสริญความงามนางมุกดาวลีนั้น จะจูงใจให้นางรักผู้แต่งผู้ใดผู้หนึ่งก็หามิได้ เพราะธรรมดาหญิงย่อมจะเคยได้ยินคำยกยอความงามจนชินหู แม้จะยอด้วยกาพย์กลอนไพเราะก็ไม่เป็นของแปลก ถ้ายิ่งกาพย์กลอนเลวๆ อย่างที่กล่าวมาแล้วก็ยิ่งเบื่อหนักขึ้น แลพระองค์ผู้ทรงสติปัญญาสามารถย่อมจะทรงทราบว่า วิธียอหญิงงามต้องยอว่ามีวิชาปราดเปรื่อง หรือยกคุณที่ไม่มีขึ้นกล่าวจึงจะเป็นเครื่องจับใจนางสวย กล่าวตรงกันข้าม ถ้านางเป็นผู้ที่หาความสวยยาก ถึงหากจะเป็นคนมีเชาวน์ ก็อาจยอให้ต้องใจได้ด้วยกล่าวถึงความงามอันสุขุมอันเป็นของไม่หาง่ายเหมือนความงามซึ่งล่อตา ดังนี้เป็นต้น ความยอนั้นเปรียบเหมือนหินกับเหล็ก ซึ่งทำให้เพลิงแห่งความรักเกิดได้

                 ส่วนนางมุกดาวลีนั้นเบื่อกาพย์กลอนจนเกลียดกวีไปทั้งหมด วันหนึ่งจึงบอกแก่บิดาว่า ถ้าจะหาผัวให้ต้องหาชายที่รูปร่างดี ไม่เคยแต่งกาพย์กลอนเป็นอันขาด อนึ่งชายที่จะเป็นสามีนางนั้น ต้องเป็นคนเชาวน์ไวประกอบด้วยความรู้ ยิ่งรู้มากยิ่งดี ขอแต่อย่าให้เป็นความรู้ในเชิงกาพย์กลอนเท่านั้น

                 อยู่มาช้านานมีชายหนุ่มสี่คนมาจากสี่ทิศ ต่างคนประกอบคุณงามความดีของตนเสมอกัน ทั้งในเชิงปัญญา ในกำลัง แลในความรู้ คนทั้งสี่เข้าไปหา พราหมณ์หริทาส แสดงประสงค์จะได้บุตรีพราหมณ์เป็นภริยา หริทาสจึงนัดให้มาพร้อมกันในวันรุ่งขึ้นเพื่อจะได้ประกวดความดีกันในการเจรจาแสดงความรู้

                 วันรุ่งขึ้นชายทั้งสี่ก็มาตามนัด ชายคนหนึ่งที่ชื่อ มหาเสนี กล่าวแสดงปัญญาว่า
                "ชายใดมีจำนงหาความไม่เปลี่ยนแปลงในโลกนี้ ชายนั้นเป็นคนโง่ เพราะความเป็นไปของโลกนั้นอ่อนเหมือนต้นกล้วยแตกดับง่ายเหมือนฟองทะเล"
                "สิ่งทั้งหลายในที่สูงไม่ช้าจะลืม สิ่งทั้งหลายในที่ต่ำคงจะสลายไปทั้งสิ้น"
                 "ญาติที่ตายไปแล้วกินน้ำตาของญาติที่คงมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่เต็มใจ เพราะฉะนั้น จักทำบุญกรวดน้ำ จงอย่าให้ช้ำใจ อกด้วนอาดูรพ่อเอย"

                 นางมุกดาวลีนั่งฟังอยู่หลังฉากได้ยินมหาเสนีกล่าวก็ว่า
                 "ชายคนนี้พูดไม่มีมงคลเลย มิหนำซ้ำกำเริบเอากลอนเลว ๆ มากล่าวด้วย คนเป็นกวีใช้ไม่ได้"

                 ชายคนที่สองกล่าวว่า
                 "หญิงใดปฏิบัติชายผู้ซึ่งบิดามารดายกให้ด้วยดี หญิงนั้นได้ชื่อว่าเป็นหญิงดี แลคัมภีรศาสตร์กล่าวว่า หญิงใดเป็นโยคินีในเวลาสามียังอยู่ หญิงนั้นทำให้สามีอายุสั้น แลจะตกในกองไฟภายหลัง"
                 คำที่ชายคนที่สองกล่าวนี้ นางมุกดาวลีเห็นโง่ที่สุด จึงนึกในใจว่า นางว่าจะไม่ยอมคำนึงถึงชายคนนั้นเป็นอันขาด
                 ชายคนที่สามเป็นตระกูลนักรบชื่อ คุณากร กล่าวว่า
                 "มารดาคุ้มครองบุตรเมื่อเป็นทารก บิดาคุ้มครองเมื่อจำเริญวัยใหญ่ขึ้น แต่บุรุษซึ่งเป็นชาตินักรบย่อมจะคุ้มครองรักษาสกุลของตนทุกเมื่อ ธรรมเนียมแห่งโลกแลหลักที่ตั้งของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้"
                 คนที่ประชุมฟังอยู่นั้นเมื่อได้ยินคุณากรกล่าวดังนี้ ก็พากันสรรเสริญว่า เป็นคนกล้าควรเป็นที่เคารพ

                 ส่วนชายคนที่สี่เป็นตระกูลพราหมณ์ชื่อ รัตนทัตต์ เมื่อได้ยินชายทั้งสามคนกล่าวแสดงปัญญาดังนั้น ก็นิ่งอยู่มิได้พูดประการใดจนชายทั้งสามคิดว่าเป็นเพราะเหตุโง่เขลาเบาความรู้ แต่ครั้นพราหมณ์ผู้เป็นบิดานางแลคนอื่นๆ ที่ประชุมฟังกันอยู่นั้นกล่าวคะยั้นคะยอให้พูด รัตนทัตต์ก็พูดสั้นๆ ว่า
                 "ความนิ่งนั้นดีกว่าความพูด"
                 ครั้นเมื่อเขาเตือนให้พูดอีกก็กล่าวว่า
                 "คนฉลาดไม่ประกาศความมีอายุของตน ไม่ประกาศให้ใครทราบเมื่อถูกหลอก ทั้งไม่ประกาศความมีทรัพย์หรือเสียทรัพย์ ไม่ประกาศความบกพร่องในครอบครัว ไม่ร่ายมนตร์ให้คนได้ยิน แลไม่ประกาศความรักภริยา หรือวิธีประสมยา หรือหน้าที่ประพฤติธรรม หรือของให้ หรือคำกล่าวโทษ หรือความไม่มีสัตย์แห่งภริยาตน"
                 เมื่อชายคนที่สี่ได้กล่าวดังนี้แล้ว ก็เป็นอันสิ้นการประลองปัญญาในวันนั้น พราหมณ์หริทาสเจ้าของบ้านแสดงความเสียใจต่อชายคนที่หนึ่งแลที่สอง แลให้ของเล็กน้อย แล้วก็เอาน้ำมันหอมประพรมเสื้อผ้าชายสองคน แลรดน้ำดอกไม้เทศที่ศีรษะแล้วก็ให้พลู เชิญให้กลับ ส่วนชายคนที่สามที่สี่คือคุณากรแลรัตนทัตต์นั้นพราหมณ์หริทาสเชิญให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้น

                 ชายทั้งสองก็มาตามนัด ครั้นนั่งลงพร้อมกันแล้ว พราหมณ์หริทาสจึงถามว่า
                 "ท่านทั้งสองมีปัญญาดังที่แสดงโดยคำพูดเมื่อวานนี้ บัดนี้ท่านจงแสดงให้เห็นว่า ปัญญาของท่านมีผลเป็นความรู้แลประโยชน์อะไรบ้าง" คุณากรกล่าวว่า
                 "ข้าพเจ้าได้สร้างรถขึ้นไว้คันหนึ่ง รถนั้นอาจพาข้าพเจ้าไปถึงไหนได้ทุกแห่งในพริบตาเดียว" รัตนทัตต์กล่าวว่า
                 "ข้าพเจ้ามีความรู้ชุบคนตายให้ฟื้นคืนเป็นมาได้ แลอาจสอนเพื่อนของข้าพเจ้าให้สามารถเช่นกัน"

                 เวตาลเล่ามาเพียงนี้ก็หยุดไว้ แล้วทูลถามพระวิกรมาทิตย์ว่า ชายหนุ่มมีความรู้ประเสริฐทั้งสองคนเช่นนี้ พระราชาจะทรงดำริว่าพราหมณ์หริทาสควรจะเลือกชายคนไหนเป็นเขย แต่พระวิกรมาทิตย์ไม่ทรงตอบ เหตุไม่ทรงทราบว่าจะตอบประการใด หรือเหตุได้พระสติว่าเป็นกลเวตาลลวงถาม ก็เป็นได้ทั้งสองประการ
                 ครั้นพระวิกรมาทิตย์ไม่ทรงตอบ จนเวตาลเห็นได้ว่าจะล่อให้ตรัสตรงนี้ไม่สำเร็จแล้ว ก็เล่าต่อไปว่า

                 เมื่อชายหนุ่มทั้งสองได้แสดงความรู้ให้ที่ประชุมทราบดังนี้แล้ว พราหมณ์หริทาสยังลังเลในใจไม่แน่ว่าจะเลือกคนไหนดี จึงเรียกให้นางมุกดาวลีออกมากลางที่ประชุมถามว่านางจะเลือกชายคนไหน นางมุกดาวลีก้มหน้านิ่งไม่ตอบว่ากระไรด้วยวาจา แต่ชายหางตาดูรัตนทัตต์
                 พราหมณ์หริทาสเห็นดังนั้น ก็กล่าวภาษิตมีความว่า มุกดาควรร้อยเป็นสร้อยกับมุกดาด้วยกัน แลยกลูกสาวให้แก่รัตนทัตต์ตามใจธิดาประสงค์ ฝ่ายคุณากรชาตินักรบเห็นดังนั้นก็แค้นใจ มือจับหนวดบิดขึ้นไปจนถึงตาซึ่งแดงด้วยความโกรธ มือก็เวียนไปจับดาบร่ำไป แต่คุณากรเป็นคนเกิดในสกุลดีมียุติธรรมในใจ ถึงแม้จะขุ่นเคืองใจถึงเช่นนี้ ไม่ช้าก็หายโกรธ

                 ฝ่ายมหาเสนีคือชายคนหนึ่งซึ่งถูกคัดออกไปแต่วันแรกนั้น ชะรอยจะเป็นด้วยกวีดอกกระมัง จึงเป็นคนไม่มีความอายเลย ครั้นเมื่อพราหมณ์หริทาสได้หมั้นกำหนดการวิวาหะนางมุกดาวลีแล้ว มหาเสนีได้ทราบก็กระทำการอุกอาจเข้าไปในที่ประชุม พูดจาแสดงความโกรธ แลกล่าวภาษิตกาพย์กลอนที่ไม่เข้าเรื่องด้วยเสียงดังกลบไปในเรือน ยกคุณชั่วแห่งหญิงทั้งหลายขึ้นกล่าวว่า ในโลกนี้หญิงเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ เป็นยาพิษอย่างแรง เป็นที่อยู่แห่งความกระวนกระวาย เป็นผู้สังหารความกำหนดแน่ในใจคน เป็นผู้กระทำให้เกิดความมึนเมารัก แลเป็นโจรปล้นคุณความดีทั้งหลายในโลก
                 เมื่อได้กล่าวประหัตประหารหญิงเช่นนี้แล้ว ก็กล่าวต่อไปถึงบิดาแห่งนาง เรียกหริทาสว่า "มหาพราหมณ์" ซึ่งรับโคแลทองคำเป็นสินจ้าง แลเป็นคนบูชาลิง ส่วนพราหมณ์แลลูกแห่งพราหมณ์ทั้งหลายนั้นใช้ไม่ได้หมด รวมทั้งรัตนทัตต์ด้วย
                 ครั้นคนที่อยู่ในที่ประชุมนั้นช่วยกันห้ามปราม มหาเสนีก็ยิ่งแสดงความโกรธมากขึ้น จนพราหมณ์หริทาสตกใจกลัวสำเนียงแลอาการมหาเสนีเป็นกำลัง ในที่สุดมหาเสนีสาบานว่า แม้นางมุกดาวลีจะได้หมั้นแล้วก็ตาม ถ้าเขาไม่ได้นางเป็นภริยาเขาก็จะฆ่าตัวตายแล้วเป็นผีมากวนแลทำร้ายคนในบ้านนั้นทั้งบ้าน

                 ฝ่ายคุณากรเป็นชาตินักรบมีใจกล้า ครั้นได้ยินมหาเสนีพูดดังนั้นก็แนะนำว่าให้รีบฆ่าตัวตายเสียเถิด และเมื่อเป็นผีแล้วจะทำอะไรก็แล้วแต่สมัคร แต่พราหมณ์หริทาสห้ามคุณากรไม่ให้พูดแสดงน้ำใจร้ายกาจ มหาเสนียิ่งโกรธใหญ่ เกิดความกล้าเพราะเกลียด เพราะรัก แลเพราะโกรธ ก็ชักเชือกบ่วงออกจากอกวิ่งออกไปจากเรือนแล้วผูกคอแขวนตัวตายอยู่กับต้นไม้ข้างเรือนนั้น

                 ครั้นเวลาเที่ยงคืนผีมหาเสนีก็ทำจริงดังที่กล่าวไว้เมื่อยังมีชีวิต แสดงตัวเป็นรากษสมาที่เรือนพราหมณ์หริทาส ทำให้พราหมณ์แลคนทั้งหลายตกใจเป็นกำลัง ครั้นรากษสมาทำอาการคุกคาม จนคนกลัวหลบซ่อนไปหมดแล้ว ก็พานางมุกดาวลีเหาะหายไปเสียจากเรือนแลบอกกล่าวไว้ว่า ถ้าจะตามให้พบให้ไปตามบนยอดสูงที่สุดแห่งเขาหิมาลัย

                 ฝ่ายพราหมณ์หริทาสเมื่อเกิดเหตุดังนี้ก็วิ่งไปเรือนรัตนทัตต์ ปลุกให้ตื่นขึ้นแล้วพราหมณ์หริทาสก็ปากสั่นเล่าความให้ผู้จะเป็นบุตรเขยทราบทุกประการ รัตนทัตต์พราหมณ์หนุ่มทราบเรื่องก็ตกใจเป็นกำลัง ออกวิ่งไปเรือนคุณากรนักรบแลวิงวอนให้ช่วย คุณากรเป็นคนใจดี แม้จะได้ขุ่นเคืองด้วยเหตุแพ้รัตนทัตต์ในทางรักก็จริง แต่เมื่อผู้ชนะมาวานให้ช่วยก็ยอมช่วยจึงจัดรถซึ่งพาเหาะได้ แล้งสองคนก็ขึ้นนั่งบนรถ แลบอกพราหมณ์หริทาสให้นอนใจว่า จะได้ลูกสาวคืนมาในไม่ช้า
                 คุณากรก็ร่ายมนตร์ให้รถลอยขึ้นในอากาศ รัตนทัตต์ก็ร่ายมนตร์ไล่ผีมิให้มากีดกั้น ตตสวิตุรวเรณยํ ภโรค เทวสย ธีมหิ ธิโย โย นะ ปรโจทยาต รถก็พาลอยไปถึงยอดสูงสุดแห่งเขาหิมาลัย อันเป็นที่ซึ่งผีมหาเสนีพานางไปทิ้งไว้นั้น

                 ครั้นชายหนุ่มทั้งสองพานางมาส่งคืนต่อบิดาแล้ว พราหมณ์หริทาสเกรงจะเกิดเหตุอื่นขึ้นอีก ก็รีบให้โหรหาฤกษ์ทำการวิวาหะโดยเร็ว แลเมื่อฤกษ์ดีก็เอาขมิ้นทามือลูกสาวตามธรรมเนียม การแต่งงานครั้งนั้นครึกครื้นนัก กวีใหญ่น้อยซึ่งรักนางไม่สมหมาย ได้ความทุกข์ถึงอกหักมีจำนวนสองโหลเศษ
                 ฝ่ายรัตนทัตต์เจ้าบ่าวเมื่อได้วิวาหะเสร็จตามพิธีแล้ว ก็ลาพราหมณ์หริทาสพาภริยาจะกลับไปบ้านเดิม คุณากรนักรบมีความภักดีต่อนาง แลต่อรัตนทัตต์ผู้เพื่อน ก็สาบานว่าจะไม่ทิ้งคนทั้งสองนั้นก่อนไปถึงบ้านเดิมแห่งเจ้าบ่าว

                 นางแลชายหนุ่มทั้งสองก็ลาพราหมณ์หริทาสออกเดินทางไป แลทางเดินนั้นต้องข้ามยอดเขาวินธยะ อันเป็นที่มากด้วยภัยประการต่างๆ เมื่อถึงหน้าผาแลดูลงไปก็ลึกน่ากลัว เมื่อถึงลำธารน้ำก็เชี่ยวไหลกระแทกหิน ยากที่จะข้ามได้ปราศจากอันตราย ประเดี๋ยวก็เข้าป่ารกชัฏซึ่งมืดเหมือนมรณะ ยากที่จะหาทางเดินไปได้ ประเดี๋ยวสายฟ้าก็ฟาดสาดฝนลงมา จนหนาวเย็นสะท้านทั่วสรรพางค์กาย เมื่อยามร้อนก็ร้อนจนนกตกตายลงมาจากอากาศ รอบข้างก็ก้องด้วยเสียงสัตว์ร้ายต่างๆ ซึ่งมิใช่มิตรแห่งมนุษย์

                 เมื่อทางเดินลำบากถึงเพียงนี้ เราท่านก็น่าสงสัยว่า เหตุใดคุณากรจึงไม่พาบ่าวสาวขึ้นรถเหาะไปส่ง เหตุจะอย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนั้นใช้เวลาเดินดินไม่ใช่เดินอากาศ แลคนทั้งสามก็ได้ความลำบากดังกล่าวมาแล้ว แลจะปรากฏต่อไปในเรื่องนี้ แต่คนทั้งสามก็ทนเดินทางไปด้วยอานุภาพพระกามเทพ จนพ้นป่าใหญ่ไปถึงที่ราบแล้ว

                 คืนหนึ่งนางมุกดาวลีฝันว่า นางเดินลุยไปในหนองน้ำขุ่นโสโครก นางอุ้มเด็กคนหนึ่งซึ่งมีอาการเหมือนเจ็บ เด็กนั้นดิ้นแลร้องครวญคราง มีเด็กอื่นเป็นอันมากได้ยินร้องก็ร้องบ้าง เด็กเหล่านั้นรูปร่างพิกล บางคนก็ป่องเหมือนคางคก บางคนก็ผอมยืดนอนอยู่ตามขอบหนอง บางคนก็ลอยอยู่เหนือน้ำ เด็กเหล่านั้นมีอาการเหมือนหนึ่งระดมกันร้องใส่เอานาง ประหนึ่งว่านางเป็นเหตุให้ร้องไห้ แลจะว่ากล่าวปลอบโยนหรือขู่เกรี้ยวกราดประการใด ก็ไม่นิ่งทั้งนั้น ครั้นนางตื่นขึ้นก็เล่าความฝันให้ชายทั้งสองฟัง
                 รัตนทัตต์ผู้สามีได้ฟังแล้วก็นิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงบอกภริยาแลเพื่อนว่า จะเกิดเหตุใหญ่เป็นภัยแก่คนทั้งสามในไม่ช้า ครั้นรัตนทัตต์ทำนายดังนี้แล้วก็หยิบด้ายออกมาเส้นหนึ่ง ตัดออกเป็นสามท่อน แจกกันคนละท่อน แล้วอธิบายว่า ถ้าเกิดเหตุเป็นภัยแก่ร่างกาย ให้เอาเชือกนั้นผูกเข้าที่แผลๆ ก็จะหายไปในทันที
                 ครั้นแจกเชือกแล้วรัตนทัตต์ก็สอนมนตร์ให้ภริยาแลเพื่อนท่องจำไว้ เป็นมนตร์ที่ชุบคนตายให้คืนชีวิตได้ มนตร์นั้นเป็นอย่างไรข้าพเจ้าไม่ควรนำมากล่าวให้ทรงทราบ เวตาลเล่าต่อไปว่า

                ตามที่รัตนทัตต์ทำนายฝันไว้นั้นไม่ช้าก็เกิดเหตุตามพยากรณ์คือ ในตอนเย็นเมื่อคนทั้งสามเดินพ้นจากป่าออกทุ่งก็มีคนพวกหนึ่งเรียกว่า กิราตะ มีจำนวนเป็นอันมากพากันเข้าทำร้ายมาเบื้องต้น
                 มีกิราตะคนหนึ่งร่างเล็กตัวดำถือธนูแลศรทำด้วยหวาย ยืนขวางทางทำกิริยาเป็นสัญญาณให้คนทั้งสามวางอาวุธ ครั้นคนทั้งสามไม่หยุด กิราตะก็พูดเสียงโกรธดังก้องไปเหมือนนกที่ตกใจกลัว ตาก็เหลือกไปเหลือกมาแลแดงด้วยความโกรธ มือถืออาวุธชูขึ้นแกว่งอยู่บนศีรษะ ในทันใดนั้นพวกกิราตะก็หลั่งกันออกจากพุ่มไม้ แลที่กำบังหลังก้อนหิน ต่างคนต่างช่วยกันยิงมาดังห่าฝน การต่อสู้ซึ่งกำลังไม่พอกันนั้นเป็นไปไม่ได้นาน คุณากรนักรบถือดาบในมือขวาใช้แขนอันมีกำลังไล่ฟาดฟันศัตรูล้มตายลงหลายสิบคน แต่พวกกิราตะก็หนุนเนื่องกันเข้ามาเหมือนหมู่แตนซึ่งมีผู้ทำลายรัง ไม่ช้าคุณากรก็ถูกอาวุธสิ้นกำลังล้มลง

                 ฝ่ายรัตนทัตต์นั้นเมื่อศัตรูมีมากก็พานางหลบไปซ่อนไว้ในโพรงไม้แห่งหนึ่งแล้วกลับมาต่อสู้กับพวกชาวป่า ไม่ช้าก็ถูกอาวุธสิ้นกำลังลงเหมือนกัน ฝ่ายพวกกิราตะนั้นครั้นชายทั้งสองล้มลงแล้ว ก็ชักมีดออกตัดศีรษะให้ขาดออกจากตัวทั้งสองศพ แล้วปลดเอาของมีค่าทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในตัวชายสองคนนั้น เสร็จแล้วก็พากันกลับไป หาตามไปทำร้ายนางซึ่งซ่อนอยู่ในโพรงไม้นั้นไม่

                 ฝ่ายนางมุกดาวลีตกใจเพียงจะสิ้นชีวิต ครั้นสงบเสียงลงไป ก็ออกจากโพรงไม้เมียงมอง ไม่เห็นพวกโจรชาวป่า เห็นแต่ศพสามีและเพื่อนกลิ้งอยู่กลางดิน หัวตกอยู่ห่างตัวทั้งสองหัว นางก็นั่งลงร้องไห้ครวญครางอยู่ช้านานจนจวนค่ำ จึงคิดขึ้นได้ถึงวิชาที่เรียนรู้จากสามีในวันนั้นเอง นางจึงหยิบเอาด้ายวิเศษออกมา ยกเอาหัวทั้งสองหัวมาวางต่อกับตัวสองตัวแล้วเอาด้ายผูกหัวกับตัวเข้าไว้ด้วยกัน
                 แต่เวลานั้นเป็นเวลามืดเห็นไม่ถนัด ทั้งเป็นเวลาที่นางกำลังตื่นตกใจไม่ทันได้พิจารณาละเอียด หัวแลตัวที่ต่อกันนั้นผิดสำรับกันไป นางไม่ทันสังเกตก็นั่งลงร่ายมนตร์สํชีวนีซึ่งสามีได้สอนไว้
                 พอร่ายมนตร์จบชายสองคนก็มีชีวิตคืนมา ต่างคนต่างลืมตาแลลุกขึ้นนั่งลูบคลำตัวเองเหมือนหนึ่งดูว่าร่างกายยังอยู่ครบหรือไม่ แต่เมื่อลูบพบร่างกายเต็มทั้งตัวแล้วก็ไม่หายสงสัย ต่างคนเห็นว่าจะมีอะไรผิดสักแห่งหนึ่ง จึงเอามือคลำหน้าผากแล้วแลดูลงไปตลอดถึงเท้า แล้วต่างลุกขึ้นยืนมองดูแขนแลขาของตน แลดูผ้านุ่งห่มซึ่งพวกโจรเหลือทิ้งไว้ให้น้อยที่สุด
                 ฝ่ายนางมุกดาวลี เมื่อเห็นชายทั้งสองทำกิริยาประหลาดดังนั้นก็นึกว่าเป็นด้วยความยุ่งในมันสมองของคน ซึ่งเป็นโรคถูกตัดหัวหายขึ้นใหม่ๆ นางจึงยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้ววิ่งเข้าไปกอดชายซึ่งนางคิดว่าเป็นสามี แต่เขาไม่ยอมให้นางเข้าชิดตัว กลับผลักเสียแล้วบอกว่านางเข้าใจผิด นางมุกดาวลีละอายในใจเป็นกำลัง ก็วิ่งเข้ากอดคอชายอีกคนหนึ่งซึ่งนึกว่าเป็นสามีของตนแน่ แต่ชายคนนั้นก็ผลักนางไว้ให้ห่างแลบอกว่าเข้าใจผิดเหมือนกัน
                 ในขณะนี้นางรู้สึกขึ้นมาว่าได้ต่อหัวผิดตัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็นั่งลงร้องไห้ราวกับอกจะแตกไปกับที่ หัวพราหมณ์รัตนทัตต์กล่าวว่า
                 "นางนี้เป็นเมียของท่าน" หัวคุณากรนักรบกล่าวว่า
                 "นางนี้เป็นเมียของท่านไม่ใช่ของข้า" ตัวรัตนทัตต์กับหัวคุณากรตอบว่า
                 "หามิได้นางเป็นเมียของข้าต่างหาก" คุณากร-รัตนทัตต์กล่าวว่า
                 "ถ้าเช่นนั้นข้าคือผู้ใด" รัตนทัตต์-คุณากรกลับถามว่า
                 "ก็เจ้านึกว่าข้าคือผู้ใด" หัวพราหมณ์ตัวนักรบกล่าวว่า
                 "นางต้องเป็นเมียของข้า" หัวนักรบตัวพราหมณ์กล่าวว่า
                 "เจ้าโกหก นางเป็นเมียของข้าต่างหาก หัวทั้งสองพูดพร้อมกันว่า
                 "เจ้าพูดอย่างคนพาลฟังไม่ได้"

                 เวตาลกล่าวต่อไปว่า หัวสองหัวแลตัวสองตัวโต้เถียงกันไม่มีทางที่จะยินยอมกันได้ ผู้ที่จะตัดสินได้แน่นอนก็เห็นจะมีแต่พระพรหมพระองค์เดียว ส่วนข้าพเจ้านั้น นอกจากจะตัดหัวต่อเสียใหม่แล้ว ก็ไม่รู้จะวินิจฉัยอย่างไรได้ แลข้าพเจ้าเชื่อเป็นแน่ว่า แม้พระองค์ผู้เป็นพระราชาอันประเสริฐ ก็ไม่ทรงปัญญาพอตัดสินได้ว่า นางมุกดาวลีเป็นภริยาของหัวแลตัวสำรับไหน อันที่จริงพวกข้าพเจ้าซึ่งเป็นเวตาลด้วยกันกระซิบบอกต่อ ๆ กันมาว่า เมื่อหัวแลตัวสองสำรับนั้นตายไปเฝ้าธรรมราชา (คือพระยม) ปัญหาอันเดียวกันก็เกิดขึ้นในยมโลก เพราะหัวทั้งสองต่างปฏิเสธบาปกรรมต่างๆ ซึ่งตัวได้ทำไว้ในเมืองมนุษย์ แม้ธรรมราชาก็พิศวง ไม่รู้จะแจกคะแนนโทษอย่างไรได้ ตรงนี้ พระธรรมธวัชพระราชบุตรทรงนึกขันข้อที่หัวต่อผิดตัวแลเผลอพระองค์ไม่ทันนึกถึงพระราชบิดาก็ทรงพระสรวลขึ้นด้วยสำเนียงอันดัง พระวิกรมาทิตย์พระราชบิดาทรงขัดเคืองพระราชบุตรก็ตรัสว่า
                 "ความเห็นขันในขณะซึ่งไม่มีสิ่งใดขันนั้นเป็นเหตุให้คนดูแคลน แลทรงอ้างภาษิตซึ่งบิดามักจะชอบเอามากล่าวแก่บุตรว่า ความหัวเราะนั้นเป็นเครื่องส่อน้ำใจปราศจากความคิด แล้วรับสั่งต่อไปว่า "คัมภีรศาสตร์แสดงว่า..."
                 เวตาลกล่าวว่า
                 "ดูไม่สู้จำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงอธิบายให้แจ่มแจ้งถึงเพียงนั้น คำที่รับสั่งก็คงเป็นคำของชัยเทวะหรือคนอื่นในหมู่กวีแก้วทั้งเก้า แต่คนเก้าคนนั้นรู้กาพย์กลอนของตัวเอง ดีกว่ารู้คัมภีรศาสตร์เป็นอันมาก"

                 พระวิกรมาทิตย์ทรงนิ่งชั่งพระหฤทัยว่า จะลงโทษเวตาลที่กล่าวค้านขึ้นกลางคันดีหรือไม่ อีกครู่หนึ่งจึงรับสั่งแก่พระราชกุมารต่อไปว่า
                 "คัมภีรศาสตร์กล่าวว่า แม่น้ำพระคงคาเป็นใหญ่ในหมู่แม่น้ำทั้งปวง เขาพระสุเมรุเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลาย ต้นกัลปพฤกษ์เป็นใหญ่กว่าต้นไม้ทั้งปวง แลในภาคแห่งมนุษย์นั้น หัวเป็นใหญ่แลประเสริฐที่สุด กล่าวโดยความอันแสดงในคัมภีรศาสตร์เช่นนี้ นางมุกดาวลีต้องเป็นภริยาของชายสำรับซึ่งหัวเคยเป็นสามีของนาง"
                 เวตาลหัวเราะแล้วทูลตอบว่า
                 "ความเห็นของข้าพเจ้าไม่ต้องกับคัมภีรศาสตร์ แลไม่ตรงกับพระราชดำริแห่งพระองค์ คือข้าพเจ้าเห็นว่านางมุกดาวลีเป็นภริยาของชายสำรับที่กายเคยเป็นผัวนาง เพราะเหตุว่ากายนั้นมีอุทร ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งวิญญาณอันมีความไม่รู้ดับเป็นสภาพ ส่วนหัวนั้นเสมอกับหม้อกระดูกหม้อหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรอยู่ข้างในนอกจากมันสมองซึ่งเป็นเยื่อข้นเสมอกับมันสมองแห่งลูกวัวเท่านั้น"
                 พระวิกรมาทิตย์รับสั่งด้วยสำเนียงพิโรธว่า
                 "เอ็งไม่นึกหรือว่า วิญญาณนั้นเมื่อเข้าไปในตัวมนุษย์แล้วก็มีสำนักอยู่ในมันสมอง แลพิจารณากายภายนอกเห็นได้จากสำนักนั้น" เวตาลตอบว่า
                 "วิญญาณจะมีสำนักอยู่ที่อุทรคนก็ตาม หรือที่มันสมองก็ตาม สำนักของข้าพเจ้าอยู่ที่ต้นอโศกเป็นแน่"
                 พูดเท่านั้นแล้วเวตาลก็ออกจากย่ามหัวเราะก้องฟ้าลอยไป พระวิกรมาทิตย์กับพระราชบุตรก็เสด็จหันพระพักตร์คืนไปยังต้นอโศก ทรงปลดเวตาลลงมาใส่ย่าม แล้วก็รับสั่งแก่เวตาลว่า ให้เล่าเรื่องจริงไปอีกเรื่องหนึ่ง